TOP 5
เหตุผลหลักของการศัลยกรรมแก้ไขจมูก
Case 01
ปลายจมูกตก
กรณีที่กระดูกอ่อนปลายจมูกต่ำและไม่แข็งแรง สามารถต่อกระดูกขาจมูกเพื่อเสริมให้ปลายจมูกแข็งแรงขึ้นได้
Case 02
ไม่พอใจกับทรงจมูก
หลังเสริมจมูกครั้งแรก สันจมูกและปลายจมูกสูง กรณีไม่พอใจกับทรงจมูกสามารถเปลี่ยนทรงจมูกโดยการยึดสัดส่วนบนใบหน้าเป็นหลักได้
Case 03
จมูกเอียง
กรณี ซิลิโคนเอียงไปทางฝั่งใดฝั่งหนึ่งมาก บริเวณซิลิโคนไปชนกับกระดูกจมูก สามารถแก้ไขตกแต่งให้พอดีกันได้
Case 04
จมูกหนา / จมูกฮัมพ์
กรณีที่เคยแก้ไขจมูกหนาม จมูกฮัมพ์แล้ว แต่ยังไม่เป็นผล สามารถแก้ไขเพิ่มเติมได้
Case 05
ปลายจมูกรั้งขึ้น
กรณี ปลายจมูกสั้นหรือรั้งขึ้น ผิว กระดูกอ่อน เนื้อเยื่ออื่นๆ แก้ไขได้โดยการปรับโครงสร้างจมูกใหม่ ปลูกถ่ายเนื้อเยื่อ เพื่อต่อเนื้อปลายจมูกให้ยาวขึ้น
วิธีแก้ไขจมูกแบบอื่นๆ นอกจากวิธีก่อนหน้านี้
กรณี ซิลิโคนขยับได้
กรณีที่จับจมูกแล้วซิลิฌคนขยับได้แก้ไขได้โดยการเอาออกและเสริม Gore-Tex เข้าไปที่บริเวณตรงกลางระหว่างกระดูกจมูกและกระดูกอ่อน
กรณี ผิวบางจนเห็นซิลิโคนชัดเจน
หลังจากเสริมจมูกแล้วมีอาการผิวค่อยๆบางลงจนมองเห็นซิลิโคน ควรถอดซิลิโคนออกและใช้วัสดุอื่นเสริมแทนร่วมกับการปลูกถ่ายผิวหนังเพื่อรักษาอาการผิวบางลง
กรณี มีการอักเสบ
หากมีอาการอักเสบหลังทำจมูกควรไปพบแพทย์ทันทีเพื่อวินิจฉัยและรักษาด้วยการให้ยาปฏิชีวนะเพื่อบรรเทาอาการอักเสบ หากเมื่อมีอาการรุนแรงควรนำซิลิโคนออกทันที หลังหายแล้วจึงสามารถทำจมูกใหม่ได้
กรณี รูปทรงจมูกเปลี่ยน
เมื่อรูปทรงของจมูกเปลี่ยนไปสามารถแก้ไขได้ด้วยการจัดกระดูกอ่อนในจมูกใหม่และแก้ไขผนังจมูก หรือ ปลูกถ่ายผิวหนังบริเวณปลายจมูก
ควรเสริมจมูกตอนไหนถึงจะดี?
โดยปกติแนะนำให้แก้ไขจมูกหลังจากทำครั้งล่าสุด 6 เดือน ถึง 1ปี
เพื่อความปลอดภัยและลดโอกาสการเกิดผลข้างเคียงซ้ำ จึงจำเป็นต้องพักจมูกสักระยะ เพื่อให้จมูกฟื้นตัวและให้เนื้อเยื่อผิวหนังต่างๆ สามารถฟื้นตัวก่อนทำใหม่ จะได้ผลลัพธ์ที่สวยงาม น่าพึงพอใจมากกว่า
หากมีอาการอักเสบ และได้ทำการถอดซิลิโคนออกแล้ว เพื่อการเสริมจมูกครั้งต่อไปอย่างปลอดภัย
ควรรักษาและรอให้มั่นใจก่อนว่าอาการอักเสบหายดีแล้ว 100% และบริเวณแผลต่างๆนิ่มลงแล้ว จึงสามารถแก้ไขจมูกอีกรอบได้
เครดิต เนื้อหาและรูปภาพ : AB Plastic Surgery
ปรึกษาศัลยกรรมกับผู้เชี่ยวชาญฟรี ที่ STMstyle